จับตาอนุทิน กับนโยบาย ของนายกฯ 32
หลังจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2568 การเมืองไทยก็พลิกผันอีกครั้ง และผลการลงมติในสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 ส่งผลให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทย ด้วยเสียงสนับสนุน 311 ต่อ 152 เสียง
แม้การจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้เป็นไปภายใต้เงื่อนไขการเมืองที่ซับซ้อน โดยพรรคประชาชนที่ได้คะแนนเสียงอันดับหนึ่งยังคงอยู่ในสถานะฝ่ายค้าน แต่มีข้อตกลงสนับสนุนชั่วคราวและกำหนดให้ ยุบสภาภายใน 4 เดือน ดังนั้น รัฐบาลของนายอนุทินจึงเป็น "รัฐบาลเฉพาะกาล" ที่มีเวลาจำกัดในการขับเคลื่อนนโยบาย
นโยบายและประเด็นที่ต้องจับตา
บทความที่เกี่ยวข้องและแนะนำ:
1. นโยบายด้านสาธารณสุข
นายอนุทินซึ่งมีภาพจำด้านการดูแลสาธารณสุขในช่วงโควิด-19 ยังคงถูกจับตามอง โดยเฉพาะ:
นโยบายนับคาร์บ (NCDs) เพื่อลดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดัน โดยใช้ อสม. และ อสส. เป็นกลไก
ร่าง พ.ร.บ.อสม. ที่อยู่ระหว่างการผลักดัน อาจได้เห็นความคืบหน้าในสภาช่วงสั้นนี้
บุคลากรทางการแพทย์ ปัญหาขาดแคลน สวัสดิการ ชั่วโมงทำงาน และการกระจายตัวในชนบท เป็นโจทย์ใหญ่ที่สังคมรอดูท่าที
2. งบประมาณระบบสุขภาพ
การจัดสรรงบประมาณในระบบบัตรทองและหน่วยบริการสุขภาพทั้งภาครัฐและเอกชน ยังคงเป็นประเด็นร้อน โดยเฉพาะเรื่องความเพียงพอและความเป็นธรรมของงบประมาณ
3. กัญชาทางการแพทย์
นโยบายกัญชาเป็นเอกลักษณ์ของพรรคภูมิใจไทย ต้องจับตาว่าภายใต้เวลาจำกัด 4 เดือน จะมีการปรับแก้กฎกระทรวง เปิดช่องทางวิจัยหรือเชิงพาณิชย์เพิ่มเติมหรือไม่
4. กฎหมายด้านบุคลากรสาธารณสุข
ข้อเสนอแยกข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขออกจากระบบ ก.พ. แม้มีการผลักดันมานาน แต่ด้วยเวลาสั้น อาจยังไม่เกิดผลชัดเจน
5. ปมภายในกระทรวงสาธารณสุข
กรณีการตรวจสอบการจัดซื้อ ATK และวัคซีน รวมถึงการสอบสวน นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ยังคงเป็นประเด็นท้าทายต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของกระทรวง
รัฐบาลสั้น แต่นโยบายยาว
แม้รัฐบาลนายอนุทินจะมีเวลาเพียง 4 เดือน แต่ทุกก้าวเดินถูกจับตามองอย่างเข้มข้น นโยบายด้านสุขภาพและกัญชาจะถูกใช้เป็น "เครื่องหมายการค้า" หรือเพียงการรักษาสมดุลทางการเมืองเพื่อประคองสถานการณ์ก่อนการยุบสภา ยังคงเป็นคำถามใหญ่
สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ บทบาทของนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ไม่เพียงสะท้อนความไม่แน่นอนของการเมืองไทย แต่ยังเป็นบททดสอบว่า "นโยบายระยะสั้น" จะสร้างผลกระทบระยะยาวได้เพียงใด




