เมื่อชีวิตคนไทยกลายเป็นเครื่องต่อรองกัมพูชากำลังละเมิดกฎหมายโลก
บทความที่เกี่ยวข้องและแนะนำ:
หลังรัฐบาลกัมพูชาประกาศปิดด่านชายแดนถาวรแบบไม่มีกำหนด คนไทยกว่า 8,000 คนต้องนอนรอชะตากรรม หลายคนไม่มีเงิน ไม่มีอาหาร และไม่รู้เลยว่าจะกลับบ้านได้เมื่อไหร่ เหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่เรื่อง “ปิดด่านปกติ” เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเข้าข่าย “การจับพลเรือนเป็นตัวประกัน” ซึ่งเป็นสิ่งที่กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศห้ามโดยเด็ดขาดกฎหมายโลกเขียนไว้ชัดใน “อนุสัญญาเจนีวา ฉบับที่ 4” ว่าการจับพลเรือนไว้เพื่อกดดันทางการเมืองหรือทางทหาร ถือเป็นการละเมิดอย่างร้ายแรง มาตรา 34 ระบุคำเดียวตรงๆ ว่า “ห้ามการจับตัวประกัน (Hostage-taking is prohibited)” นั่นหมายความว่า ต่อให้เป็นช่วงสงครามจริง ๆ ก็ไม่มีสิทธิ์ใช้ชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์เป็นเครื่องต่อรองอยู่ดีแต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ กัมพูชากลับทำตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง หลังเกิดการปะทะชายแดนรอบใหม่ ฝ่ายนั้นเลือกที่จะ “ล็อกด่าน” ไม่ให้คนไทยกลับ ทั้งที่รู้ว่าพวกเขาเป็นเพียงแรงงาน ผู้ค้าขาย หรือคนขับรถที่ต้องการเดินทางกลับบ้านเท่านั้น การขัดขวางการกลับประเทศของพลเรือน ถือเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมในระดับร้ายแรง เพราะเท่ากับปฏิเสธสิทธิขั้นพื้นฐานของคนธรรมดาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการสู้รบเลยใช้ชีวิตคนเป็นเครื่องมือกดดันในสายตาของโลก การทำแบบนี้เท่ากับ “ใช้พลเรือนเป็นตัวประกัน” เพื่อสร้างแรงกดดันทางการเมือง ซึ่งเข้าข่ายอาชญากรรมสงครามตาม “ธรรมนูญกรุงโรม” ที่ศาลอาญาระหว่างประเทศใช้บังคับ นั่นหมายความว่าผู้นำหรือเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนสั่งการ อาจถูกดำเนินคดีได้ในอนาคต เพราะความผิดนี้ไม่หมดอายุความและไม่สามารถอ้างหน้าที่ของรัฐมาคุ้มกันตัวเองได้กฎหมายมนุษยธรรมยังพูดชัดใน “ข้อ 3 ร่วมกัน” ของอนุสัญญาเจนีวา ว่าคนที่ไม่ได้ร่วมการรบ ต้องได้รับการปฏิบัติอย่างมีมนุษยธรรม ห้ามจับเป็นตัวประกันหรือข่มขู่ใด ๆ เหตุการณ์นี้จึงไม่ใช่เรื่อง “ปิดด่านเชิงนโยบาย” แต่เป็นการละเมิดหลักการสากลที่คุ้มครองชีวิตมนุษย์ในภาวะสงครามโดยตรง



