กองทัพเรือไทยกำลังก้าวสู่ยุคใหม่ของการป้องกันชายฝั่งและลาดตระเวนทางทะเลด้วยการพัฒนา เรือฟริเกตสมรรถนะสูงรุ่นใหม่ ที่สร้างขึ้นในประเทศ ภายใต้โครงการที่ผสมผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยและการออกแบบที่ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ทางทะเลอย่างครบวงจร
เรือฟริเกตรุ่นนี้มีระวางขับน้ำประมาณ 4,500 ตัน ความยาวกว่า 130 เมตร ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบ CODAG (Combined Diesel and Gas) ที่ผสมผสานเครื่องยนต์ดีเซลและแก๊สเทอร์ไบน์ ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 27 นอต พร้อมระบบอาวุธและระบบตรวจจับขั้นสูงที่สามารถปฏิบัติการรบได้ครบทั้ง 3 มิติ คือ ใต้น้ำ ผิวน้ำ และต่อสู้ทางอากาศ
จุดเด่นสำคัญคือการออกแบบแบบ Modular ที่ยืดหยุ่น ทำให้สามารถติดตั้งอาวุธหรือระบบใหม่ๆ ได้ง่ายในอนาคต เพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวต่อภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว นอกจากนี้ เรือยังติดตั้งระบบเชื่อมโยงข้อมูลทางยุทธวิธีที่ทันสมัย สามารถทำงานร่วมกับเรือรบลำอื่น รวมถึงเครื่องบินขับไล่และโดรนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อีกหนึ่งนวัตกรรมที่เพิ่มความแข็งแกร่งให้กองทัพเรือไทย คือการนำ โดรนทางทะเล เช่น MARCUS-B และ S-100 มาใช้ในการลาดตระเวนและสอดแนมชายฝั่ง โดรนเหล่านี้ช่วยเพิ่มระยะตรวจจับและลดความเสี่ยงของกำลังพลในภารกิจลาดตระเวน ทำให้สามารถตอบสนองต่อภัยคุกคามได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น
บทความที่เกี่ยวข้องและแนะนำ:
- 🔗 บทความที่เกี่ยวข้อง: นักมวยกุนขแมร์ลั่น พร้อมรับใช้ชาติ
- 🔗 อ่านต่อ: ฮุน มานัต ย้ำไม่ยอมให้ใครละเมิดอธิปไตยกัมพูชา
- 🔥 ยอดนิยม: 5 จังหวัดเสี่ยง ซิฟิลิสเอชไอวีพุ่ง
การพัฒนาเรือฟริเกตและเทคโนโลยีทางทะเลนี้ไม่เพียงแต่เสริมสร้างความมั่นคงทางทะเลของไทย แต่ยังเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมต่อเรือภายในประเทศ ผ่านการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการสร้างบุคลากรที่มีความชำนาญ พร้อมก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการต่อเรือยุทธศาสตร์ในภูมิภาคอย่างแท้จริง
ด้วยความล้ำสมัยและความพร้อมทางเทคโนโลยีนี้ กองทัพเรือไทยจึงพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ทางทะเล สร้างความมั่นใจในความปลอดภัยของอธิปไตยและทรัพยากรทางทะเลของชาติอย่างเต็มศักยภาพ,
magazineasp




