ลูกกระสุนปริศนา ใครสังหารบาเรินแดง

ในเช้าวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 1918 ท้องฟ้าต่ำต้อยเหนือที่ราบทางตอนเหนือของฝรั่งเศส ใกล้หมู่บ้าน Vaux-sur-Somme กลิ่นดินเปียกชื้นผสมกับควันระเบิดจากสนามรบที่ยังคุกรุ่นลอยคละคลุ้งในอากาศเย็นยะเยือก ลมพัดแรงพัดพาควันจากทุ่งบีทที่ถูกเหยียบย่ำให้กระจายไปมา ทำให้ทัศนวิสัยเลวร้าย ทหารออสเตรเลียในแนวหน้าแห่งกองทัพสัมพันธมิตร วางตำแหน่งปืนกล Vickers .303 น้ำหนักกว่า 18 กิโลกรัม ตัวปืนเย็นจัดสัมผัสกับมือที่ชุ่มเหงื่อของพวกเขา เสียงคำรามของเครื่องยนต์เครื่องบินดังก้องจากทางเหนือ ผสมกับเสียงกระสุนปืนกลจากพื้นดินที่ยิงสวนขึ้นฟ้าเป็นระยะๆ สร้างความตึงเครียดที่แทบจะจับต้องได้ในอากาศ​

ภาพประกอบบทความ: ลูกกระสุนปริศนา ใครสังหารบาเรินแดง

เซอร์เจนต์ Cedric Bassett Popkin ชายหนุ่มวัย 27 ปีจากออสเตรเลีย ยืนก้มตัวหลังกระสอบทรายที่เปียกชุ่ม ขณะปรับ Vickers gun ของเขาให้ชี้ขึ้นฟ้า ดวงตาเขาจับจ้องผ่านเลนส์เล็งที่สั่นไหวจากลมแรง หัวใจเต้นรัวราวกับกลองศึก เขาเคยผ่านการรบมานับไม่ถ้วนในแนวรบ Somme แต่เช้านี้มีบางอย่างต่างออกไป ข่าวลือเรื่องนักบินเยอรมันผู้ยิ่งใหญ่ "บาเรินแดง" Manfred von Richthofen แพร่สะพัดในค่ายทหารมานานหลายเดือน ชายผู้นี้บันทึกชัยชนะทางอากาศกว่า 80 ครั้ง ขับเครื่องบิน Fokker Dr.I สีแดงเพลิงที่กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวาดกลัว Popkin รู้สึกถึงน้ำหนักของปืนกลในมือ มันเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง แต่ภายในอกของเขาร้อนรุ่มด้วยความตื่นเต้นปนหวาดหวั่น "นี่มันบาเรินจริงๆ หรือ" เขาพึมพำกับตัวเอง ขณะที่เพื่อนทหารคนอื่นๆ กระซิบกันด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ บางคนจับปืนไรเฟล Lee-Enfield ไว้แน่น มือสั่นจนกระสุนหล่นเกลื่อนพื้น​

ทันใดนั้น เสียงเครื่องบินดังใกล้เข้ามา Fokker Dr.I สีแดงร้อนฉานพุ่งทะยานต่ำเหนือทุ่งบีทที่เต็มไปด้วยหลุมระเบิดและเศษเหล็กกระจัดกระจาย แสงอาทิตย์ยามเช้าสะท้อนบนปีกเครื่องบิน ทำให้มันดูราวกับปีศาจไฟที่ทะลุเมฆหมอกลงมา Richthofen นั่งหลังค็อกพิท ตัวเล็กแต่สง่าผ่าเผยในชุดนักบินหนังสีน้ำตาล ดวงตาคมกริบจับจ้อง Sopwith Camel ของนักบินแคนาดา Wilfrid "Wop" May ที่กำลังหลบหนีด้านหน้า เขาไม่สนใจกฎเหล็กของตัวเองที่เคยสั่งสอนน้องชายในฝูงบิน Jasta 11: "อย่าบินต่ำเหนือแนวศัตรูเด็ดขาด" ลมร้อนจากเครื่องยนต์ Mercedes D.IIIa เป่าผมสีบลอนด์ของเขาปลิวสะบัด กลิ่นน้ำมันเครื่องบินผสมกับควันพุ่งทะลุจมูก ขณะที่เขากดปุ่มยิง Spandau machine guns สองกระบอก เสียงตัดติ้วดังสนั่น กระสุนฝนตกใส่ Camel ด้านหน้า แต่ May หลบได้อย่างหวุดหวิด Richthofen รู้สึกถึงบางอย่างผิดปกติ หัวใจเขาเต้นแรงขึ้น ไม่ใช่แค่จากการไล่ล่า แต่เป็นสัญชาตญาณนักรบที่บอกว่ามีอันตรายจากด้านล่าง​

บนพื้นดิน Popkin เห็นเครื่องบินแดงชัดเจน มันบินต่ำเพียง 200 ฟุตเหนือเนินเขา Morlancourt Ridge ที่ปกคลุมด้วยหมอกบางๆ และซากปืนใหญ่ที่บิดเบี้ยว เขาตะโกนสั่งลูกน้อง "โหลดกระสุน! มันคือบาเริน!" มือเขาสั่นเทาแต่ตัดสินใจเด็ดขาด ปรับ Vickers gun ให้เล็งไปที่เครื่องบินที่กำลังพุ่งตรงมา ระยะห่างประมาณ 600 หลา ลมพัดควันจากทุ่งบีทเข้าตา ทำให้ภาพพร่ามัว แต่เขาเห็นปีกสีแดงชัดเจน "ไฟ!" เสียงปืนกล Vickers คำรามดังสนั่นราวฟ้าร้อง กระสุน .303 วิ่งออกจากนกหวีดร้อนผึ่ง 160 นัดในไม่กี่วินาที เสียงโลหะกระทบโลหะดังก้อง ประกายไฟลุกวาบจากปากกระบอกปืน กลิ่นดินปืนขมกรุ่นแพร่กระจาย ทหารรอบข้างยิงปืนไรเฟลตาม เสียงปืนดังเป็นชุด ผสมกับเสียงร้องตะโกน "ตีโดน! มันกำลังตก!" Popkin มองเห็นเครื่องบินแดงส่ายปีก มันพยายามเลี้ยวแต่หัวจมลง เขารู้สึกถึงความตื่นเต้นพุ่งพล่านในอก "ข้าทำได้จริงๆ หรือ?" แต่ในใจลึกๆ มีความสงสัยแวบเข้ามา

ภาพประกอบบทความ: ลูกกระสุนปริศนา ใครสังหารบาเรินแดง

Richthofen ในค็อกพิท รู้สึกถึงแรงกระแทกที่อกขวา ลูกกระสุนทะลุผ่านรักแร้ขวา ผ่านปอดและหัวใจ ก่อนทะลุออกด้านซ้ายใกล้หัวนม เขาไม่ได้ยินเสียงปืนกลจากพื้นดินท่ามกลางเสียงเครื่องยนต์และลมพัด แต่ความเจ็บปวดแผดเผาจับจูบร่างกายราวไฟลาม เขากัดฟัน พยายามควบคุม Fokker ที่เริ่มสั่นสะท้าน ปีกเอียงลง มือเปื้อนเลือดกดคันบังคับ แต่เริ่มพร่ามัว เลือดไหลทะลักจากปาก กลิ่นคาวเลือดผสมน้ำมันเครื่องบิน เขาเห็นทุ่งบีทเบื้องล่างใกล้เข้ามาเรื่อยๆ นักบิน Camel ของ Roy Brown ไล่ตามจากด้านหลัง ยิงกระสุนแต่ไม่โดน Richthofen คิดถึงน้องชาย Lothar ที่เพิ่งฟื้นจากบาดเจ็บ คิดถึงเมดัล Pour le Mérite ที่ห้อยคอ "ข้าต้องลงจอดให้ได้" เขาพึมพำด้วยความมุ่งมั่น แต่ร่างกายทรยศ โลหะเย็นของคันบังคับลื่นจากมือเปียกชุ่มเลือด เครื่องบินพุ่งชนพื้นดังโครมคราม ฝุ่นควันฟุ้งกระจาย ใบพัดบิดงอ ตัวถัง Fokker Dr.I กระแทกดินอย่างรุนแรง​

Advertisement Banner 3

ทหารออสเตรเลียจาก No. 3 Squadron Australian Flying Corps วิ่งกรูกันมาที่จุดตก กลิ่นดินไหม้และน้ำมันรั่วไหลคละคลุ้ง เสียงเครื่องยนต์เงียบสนิทเหลือแต่ลมหวีดหวิว พวกเขาพบ Richthofen นั่งนิ่งในค็อกพิท ศีรษะก้มลง มือยังจับคันบังคับ ใบหน้าซีดเผือดแต่สงบสุขุมราวกำลังหลับ เลือดไหลนองเสื้อ เขายังหายใจรวยริน แต่สิ้นลมในไม่กี่นาที ดวงตาสีฟ้าของบาเรินจ้องมองฟ้าที่ตอนนี้ปกคลุมด้วยเมฆเทา ทหารคนหนึ่งสัมผัสชีพจร "ตายแล้ว" เสียงกระซิบด้วยความเคารพผสมอัศจรรย์ พวกเขาขุดหลุมฝังศพชั่วคราวใกล้จุดตก จัดขบวนศพด้วยเกียรติยศทหาร เสียงปืนยิงสุนกดังก้องเป็นเกียรติแก่ศัตรูผู้ยิ่งใหญ่ Popkin ยืนห่างออกไป มองศพนั้นด้วยความรู้สึกปนเป—ภาคภูมิใจ สงสัย และหวาดกลัว เขาไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังมากนัก หลังจากนั้นสองเดือน เขาเสียขาขวาจากสะเก็ดระเบิดในแนวรบเดียวกัน​

หลายชั่วโมงต่อมา คำถามเริ่มก่อตัวในค่ายทหาร: ใครคือผู้ยิงลูกกระสุนต้องพิพากษานั้น? Roy Brown นักบินแคนาดา ได้รับเครดิตแรกเริ่ม แต่พยานหลายปากยืนยันว่าเขาไม่ได้อยู่ในมุมยิงที่ถูกต้อง Popkin กับปืนกล Vickers ของเขาอยู่ในตำแหน่งที่สมบูรณ์แบบ กระสุนทะลุจากขวาล่างขึ้นซ้ายบน ตรงกับบาดแผลจากการยิงจากพื้นดิน แต่มีทหารออสเตรเลียอีกหลายนายยิงไรเฟลพร้อมกัน บางคนอ้างว่าเป็น Gunner Robert Buie หรือคนอื่นๆ การชันสูตรศพยืนยันกระสุน .303 จากปืนอังกฤษ แต่ไม่มีใครรู้แน่ชัดลูกนั้นจากปืนไหน ท่ามกลางความโกลาหล ลมแรง และควันไฟ หลักฐานกระจัดกระจายราวเงาในหมอก​

Popkin กลับออสเตรเลียหลังสงคราม สร้างบ้านเรือนในหุบเขา Tweed Valley ด้วยขาเทียม เขาเสียชีวิตในปี 1968 โดยไม่เคยยืนยันว่าตัวเองคือผู้สังหาร คำถามนี้ยังคงวนเวียนในหมู่นักประวัติศาสตร์ จนถึงทุกวันนี้ บาเรินแดงสิ้นสุดรัศมีด้วยปืนกลจากพื้นดิน แต่ปริศนาว่าเซอร์เจนต์คนนั้นคือผู้กุมโชคชะตาหรือไม่ ยังคงลอยนวล ท่ามกลางทุ่งบีทที่เงียบสงบ​

ในสนามรบที่ทุกเสียงปืนกลดังก้องอาจเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ ลูกกระสุนลูกเดียวจาก Vickers นั้นชวนให้เราคิดถึงความลึกลับของสงครามที่บางครั้งผู้ชนะไม่อาจรู้ตัวเอง และโลกนี้ยังซุกซ่อนความไม่แน่นอนที่วิทยาศาสตร์ไม่อาจไขได้อย่างสิ้นเชิง

แหล่งอ้างอิง

https://en.wikipedia.org/wiki/Manfred_von_Richthofenhttps://en.wikipedia.org/wiki/Cedric_Popkinhttps://www.abc.net.au/news/2018-04-21/did-cedric-popkin-of-tyalgum-kill-the-red-baron/9682198